วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จากสวนผักสู่คลองมหาสวัสดิ์ปลายทางที่รติรมย์ 2 ตอนที่ 2



หลังจากการเดินทางร่วม 2 ชั่วโมง ต่อรถ 2 ทอด และมาต่อเรืออีกทอดจนมาถึงหน้าหมู่บ้านก็บ่ายโมงพอดี ผู้คนที่เคยสัญจรไปมาในหมู่บ้านไม่มีให้เห็นเหมือนปกติราวกับหมู่บ้านร้าง เข้าใจว่าคนในหมู่บ้านคงจะอพยพย้ายไปอยู่ที่อื่นกันเกือบหมด บ้านหลังหนึ่งเจ้าของบ้านเตรียมการป้องกันมาอย่างดีตั้งแต่น้ำยังไม่ท่วมสุดท้ายแล้วก็ต้องพ่ายแพ้ต่อภัยธรรมชาติเหมือนกับบ้านหลังอื่น ๆ ที่ไม่ได้เตรียมการอะไรเลยอย่างเท่าเทียมกัน สนามบาสหน้าสโมสรหมู่บ้านซึ่งเป็นที่สูงมีคนนำรถมาจอดหนีน้ำอยู่หลายคันแต่ก็หนีไม่พ้นต้องจมน้ำเช่นกัน

































เรือแล่นไปจนถึงเนินสะพานในหมู่บ้านก่อนที่จะข้ามไปยังเฟส 2 ก็ต้องลงเดินลุยน้ำไปอีกไม่กี่สิบเมตรก็จะถึงที่หมายแล้ว ก่อนลงเรือก็นัดแนะเวลากับลุงคนขับเรือให้มารับตามเวลาที่กำหนดแกบอกว่าไม่ต้องรีบร้อนเสร็จธุระเมื่อไรก็โทรเรียกได้ทันทีพร้อมกับบอกเบอร์โทรเสร็จสรรพ ส่วนค่าจ้างนั้นลุงใจดีบอกเอาไว้ค่อยให้ตอนขากลับก็ได้ ระดับน้ำในหมู่บ้านสูงระดับต้นขาเกือบ ๆ เอว กางเกงยางกันน้ำสีสันสดใสและรองเท้าบูตซึ่งขายดีเทน้ำเทท่าอยู่ในขณะนี้สามารถป้องกันน้ำเข้า... ได้เป็นอย่างดี ระหว่างทางที่เดินลุยน้ำอยู่นั้นมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไปสะดุดอะไรไม่รู้ใต้น้ำถึงกับสะดุ้งเพราะไม่รู้ว่าจระเข้ที่หลุดออกมาจะมาเพ่นพ่านแถวนี้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามการเดินอยู่กลางน้ำที่เย็นฉ่ำท่ามกลางความเงียบเหงาเหมือนเราเป็นเจ้าของหมู่บ้านแห่งนี้เพียงคนเดียวเป็นบรรยากาศที่หาไม่ได้อีกแล้ว
























ในที่สุดก็มาถึงจุดหมายปลายทาง ระดับน้ำหน้าบ้านลดลงมาหน่อยอยู่ในระดับที่เลยเข่าเกือบ ๆ ต้นขา ก่อนหน้าที่น้ำจะเข้าท่วมหมู่บ้าน เคยพูดกันเล่น ๆ ว่าเทศการลอยกระทงปีนี้สงสัยจะได้ลอยกระทงกันหน้าบ้านไม่น่าเชื่อว่าในที่สุดจะเป็นจริงยิ่งกว่าคือลอยกันในบ้านได้เลย ร่องรอยของคราบน้ำชี้ให้เห็นถึงจุดที่น้ำขึ้นสูงสุดแตะระดับป้ายบ้านเลขที่(ไม่ได้ใบ้หวยนะ)พอดิบพอดี ต้นเข็มที่เคยออกดอกชูช่อใหญ่ให้ชื่นชมตลอดแนวหน้าบ้านออกอาการใบเหลืองเหี่ยวตายจากการจมอยู่ใต้น้ำเป็นเวลานาน


ก่อนที่จะเปิดประตูรั้วเข้าไปในบริเวณบ้าน เพื่อความไม่ประมาทก็ต้องตรวจเช็คไฟฟ้ารั่วเสียก่อนด้วยไขควงวัดกระแสไฟฟ้าที่เตรียมตัวมาเป็นอย่างดี และหวังว่าหากมีไฟฟ้ารั่วจริงกางเกงยางกันน้ำคงจะเอาอยู่ แผ่นไม้อัดที่นำมาทำเป็นพนังกั้นน้ำบริเวณชานพักหน้าประตูบ้านพร้อมกับซิลิโคนยาอย่างแน่นหนาก็มิอาจขวางกั้นน้องน้ำที่เข้ามาเยือนโดยไม่ได้รับเชิญได้


ระดับน้ำที่สูงไม่เกินคันกั้นน้ำที่ทำไว้ทำให้สามารถประเมินความเสียหายคร่าว ๆ ได้แม้ไม่ต้องเข้าไปในตัวบ้าน คาดเดาได้ว่าน้องน้ำน่าจะแอบตีท้ายครัวเข้ามาทางท่อระบายน้ำในห้องน้ำแล้วดันถุงทรายที่วางทับไว้จนเอ่อเข้าท่วมในบ้าน โชคดีที่พื้นบ้านอยู่สูงกว่าพื้นถนนอยู่ 2-3 ขั้นบันได ทำให้น้ำในบ้านไม่สูงมากนักเลยระดับขอบบัวมาอีกนิด ถือได้ว่าความเสียหายไม่ได้รุนแรงอย่างที่คาดไว้


ระดับน้ำที่ยังลดลงไม่มากนักทำให้เราตัดสินใจที่จะไม่เปิดประตูบ้านเข้าไปสำรวจความเสียหายภายในเพราะเกรงว่าประตูซึ่งทำด้วยไม้แช่น้ำอยู่นานอาจจะบวมไม่สามารถปิดคืนได้เหมือนเดิม เราจึงมองลอดเข้าไปในตัวบ้าน โซฟาผ้านุ่ม ๆ ที่เคยนั่งแสนอุ่นสบายมาบัดนี้ได้ถูกน้องน้ำล้อมจับไว้เป็นตัวประกันเป็นที่เรียบร้อย ตู้เย็นซึ่งถูกห่อด้วยผ้าใบในระดับที่ไม่สูงมากนักหวังว่าจะช่วยให้รอดพ้นจากน้ำเข้าเครื่องได้


สวนข้างบ้านที่เคยนั่งเล่นกินลมได้กลายสภาพเป็นสวนน้ำขนาดใหญ่ดูดีไปอีกแบบ เสียดายไม่มีปลาคราฟสวย ๆ ว่ายเวียนวนให้เพลิดเพลินใจ







อีกมุมหนึ่งของบ้าน ม้านั่งหินอ่อนจมอยู่ใต้น้ำ












พืชน้ำขนาดเล็กจำพวกจอกแหนตะไคร่น้ำเจริญงอกงามสีเขียวสดใส





















ปั๊มน้ำหลังบ้านชุ่มโชกไปด้วยน้องน้ำ














ท่ามกลางความสูญเสียยังมีอีกมุมหนึ่งที่สอดแทรกด้วยความงดงามที่ไม่ได้ถูกทำลายไปกับสายน้ำพอให้ชื่นใจได้บ้าง








น้ำจะสูงแค่ไหนก็ไม่เป็นอุปสรรคของดอกบัวที่จะโผล่พ้นน้ำมาอวดความสวยงาม





เวลาก็เริ่มบ่ายคล้อยแล้วจึงจำเป็นต้องเดินทางกลับก่อนที่ตะวันจะตกดิน จึงได้โทรนัดให้เรือมารับตามเวลาและตั้งใจว่าจะเดินลุยออกไปรอเรือหน้าหมู่บ้านเพื่อวัดระดับน้ำ เดินลุยไปได้ครึ่งทางก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ จนกระทั่งเรือมารับพอดี ขากลับลุงแกไปส่งถึงถนนใหญ่ตรงแยกราชพฤกษ์โดยไม่ต้องผ่านถนนสวนผักซึ่งจะมีรถใหญ่วิ่งเยอะกว่า ก่อนลงจากเรือก็ควักเงินให้แกไป 200 บาทเพื่อเป็นค่าจ้างสินน้ำใจสำหรับการบริการด้วยน้ำใจไมตรีที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ยามตกทุกข์ได้ยาก นั่นคือบันทึกการเดินทางของคนคนหนึ่งที่ต้องประสพกับชะตากรรมจากภัยธรรมชาติเหมือนกับใครอีกหลาย ๆ คน ซึ่งสอนให้เรารู้ว่ามนุษย์เราได้ทำลายธรรมชาติมามากแล้วและขณะนี้มันกำลังเอาคืน

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

จากสวนผักสู่คลองมหาสวัสดิ์ปลายทางที่รติรมย์ 2 ตอนที่ 1

ตั้งแต่อพยพออกจากบ้านมาได้ 2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่น้ำจะเข้าท่วมหมู่บ้านอย่างหนักจนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังไม่ทราบชะตากรรมเลยว่าน้ำจะเข้าบ้านสร้างความเสียหายไปขนาดไหน ได้ยินข่าวเกี่ยวกับน้ำท่วมเขตตลิ่งชันอย่างหนัก ถนนสวนผักซึ่งอยู่ในเขตนี้ก็หนีไม่พ้นถูกน้ำท่วมเช่นกันเนื่องจากถนนสายนี้เป็นถนนเลียบคลองมหาสวัสดิ์ซึ่งเป็นคลองที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ทุกวันเพราะต้องรับเอามวลน้ำที่อยู่ทางตอนบนเข้ามาเต็ม ๆ ความกังวลเริ่มเกิดขึ้นเพราะไม่รู้ว่าระดับน้ำจะสูงแค่ไหน น้ำจะเข้าบ้านหรือไม่ ข่าวการเสียชีวิตของชาวบ้านที่ถูกไฟฟ้าช็อตจนเสียชีวิต ถูกจระเข้กัด หรืองูเขียวแมมบ้าซึ่งมีพิษร้ายหลุดออกมาแถวนนทบุรี ประกอบกับน้ำซึ่งท่วมอยู่นานและเริ่มสกปรกส่งกลิ่นเน่าเหม็นแล้ว ทำให้ความคิดที่จะหาทางเข้าไปดูบ้านต้องล้มเลิกไปหลายครั้ง


ด้วยความอยากรู้ว่าน้ำจะเข้าบ้านเท่าไร เสียหายมากขนาดไหน จึงได้รวบรวมความกล้าลุยน้ำเข้าไปดูในวันนี้ให้ได้ โดยเริ่มจากขับรถไปตามถนนราชพฤกษ์จนไปถึงจุดที่ไปต่อไม่ได้บริเวณแยกบรมราชชนนีซึ่งเริ่มมีน้ำท่วมขังรถเล็กผ่านไม่ได้แล้ว ตลอดทางจะเห็นรถจอดเรียงรายอยู่ริมถนนซ้อน 2 บ้างซ้อน 3 บ้าง มีการขับรถย้อนศรวุ่นวายกันเต็มไปหมด จากนี้ต่อไปก็ต้องโบกรถใหญ่ลุยต่อไปทางถนนสวนผักซึ่งมีรถทหารคอยให้บริการอยู่แล้วแต่กว่าจะมาแต่ละคันก็ช้ามาก โชคดีที่มีรถกระบะใจดีผ่านมาและจะไปสวนผักอยู่พอดีจึงได้อาศัยนั่งกระบะท้ายท่ามกลางแสงแดดอันร้อนระอุ












ตลอดสายถนนสวนผักตั้งแต่แยกราชพฤกษ์เข้ามาถึงตลาดกรุงนนท์ปากซอยสวนผัก 32 จมอยู่ใต้บาดาล ระดับน้ำประมาณครึ่งหน้าแข้ง บริเวณตลาดหน้าปากซอยมีชาวบ้านนำของมาขายกันอย่างคึกคักจะเรียกว่าตลาดน้ำก็ไม่ผิด


หลังจากขอบอกขอบใจคนขับรถกระบะก็ต้องลุยต่อด้วยการข้ามสะพานนี้ไป พ้นสะพานก็เข้าเขตนนท์พอดี แต่วันนี้เราจะเปลี่ยนวิธีเดินทางด้วยการล่องเรือไปตามคลองนี้แทน เจ้าคลองมหาสวัสดิ์นี่แหละคือตัวปัญหาที่ทำให้น้ำท่วมในบริเวณนี้เป็นวงกว้าง อยู่แถวนี้มาหลายปีก็มีวันนี้แหละที่ได้มีโอกาสสำรวจคลองอย่างจริงจัง คำแนะนำจากลุงใจดีคนหนึ่งซึ่งเป็นชาวบ้านในแถบนี้บอกว่าหากเดินข้ามสะพานไปขึ้นเรือที่ฝั่งกระโน้นจะถูกโขกค่าเรืออย่างแพงเพราะมีพวกมาเฟียมาคอยกินหัวคิว(คอยซ้ำเติมผู้ที่เดือดร้อน) แกบอกว่าฝั่งนี้จะมีชาวบ้านที่มีเรือมาคอยบริการให้ส่วนค่าบริการนั้นก็แล้วแต่จะให้ตามกำลังทรัพย์


สิ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดคือเรือของชาวบ้านส่วนใหญ่จะเป็นเรือเก่า ๆ ที่ทำด้วยไม้นำมาติดเครื่องยนต์ เรือที่กำลังนั่งอยู่นี้ลุงเจ้าของเรือคุยโวว่าเรือลำนี้อายุร่วม 100 ปีได้ น้ำซึ่งรั่วซึมเข้ามานองพื้นเรือจนต้องคอยวิดออกเป็นระยะ ๆ เป็นสิ่งที่พิสูจน์คำพูดของแกได้เป็นอย่างดี ตลอดทางสองฝั่งคลองเต็มไปด้วยน้ำเวิ้งว้างไปหมด น้ำสูงเอ่อล้นจนมองไม่เห็นแม้แต่ริมสันเขื่อนที่สร้างให้สูงขึ้นหลังจากน้ำท่วมปี 38 จนมองไม่ออกเลยว่าชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมคลองจะอาศัยกันอยู่ได้อย่างไร

















ตลอดระหว่างทางลุงคนขับเรือเล่าให้ฟังว่าน้ำปีนี้มหาศาลมาก เขตเทศบาลพยายามสู้แต่ก็สู้ไม่ไหวจริง ๆ พร้อมกับชี้จุดให้เห็นร่องรอยของเขื่อนริมคลองที่พังอยู่หลายจุด หลังจากล่องเรือมาได้ซัก 15 นาที ลุงแกก็พาเรือลัดเลาะมาทางข้างโรงงานริมคลองซึ่งก่อนหน้านี้เป็นทางลาดซีเมนต์ให้รถเข้าออกได้แต่บัดนี้ได้กลายเป็นคลองย่อยใช้เป็นทางลัดตัดเข้าสู่ถนนจงถนอม-ปลายบางซึ่งเป็นทางเข้าหมู่บ้านไปโดยปริยาย



และแล้วก็มาถึงซะทีหมู่บ้านรติรมย์ 2 หลังจากใช้เวลาเดินทางเกือบ 2 ชั่วโมง เห็นระดับน้ำหน้าหมู่บ้านประมาณระดับอกก็เตรียมทำใจได้เลย ลุงแกก็ไม่รอช้ารีบหันหัวเรือเข้าหมู่บ้านในทันทีพร้อมกับบอกว่าจะบริการส่งให้ถึงหัวกระไดบ้านเลย ตลอดทางเข้าในหมู่บ้านอันร่มรื่น มาบัดนี้ได้กลายเป็นคลองที่สวยสดงดงาม บ้านแต่ละหลังได้กลายเป็นบ้านสวนริมน้ำอันอุดมสมบูรณ์สมกับชื่อถนน(สวนผัก)




โปรดติดตามตอน 2 ไปวัดระดับน้ำในบ้านกัน